ควรรู้อะไรจึงจะสุขใจในวัยรุ่น

on1
(รูปประกอบบทความ มิใช่เหตุการณ์จริง)

น้องดอยหนีออกจากบ้านเพราะรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่รัก จึงหนีมานอนค้างกับเพื่อนและซ้อนมอเตอร์ไซค์เพื่อนไปโรงเรียนทุกวันตลอดทั้งอาทิตย์ ผู้เขียนถามน้องดอยว่าเกิดอะไรจึงหนีออกจากบ้าน เขาเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า “ผมรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่ไว้วางใจในตัวผม พ่อแม่คิดว่าผมยังคงเป็นเด็กอยู่เสมอ แต่ผมเรียนอยู่มัธยมปลายแล้ว บางครั้งขออนุญาตขับมอเตอร์ไซค์มาโรงเรียนเพื่อทำกิจกรรมในวันหยุดกับเพื่อน แม่ก็ไม่อนุญาต แต่ให้คุณพ่อขับรถมารับมาส่งเท่านั้น ผมมักจะถูกเพื่อนสาวที่เรียนห้องเดียวกันล้อว่าผมเป็นลูกแหง่ ทำอะไรเองก็ไม่ได้ ผมจึงอยากขับมอเตอร์ไซค์มาโรงเรียนคนเดียวบ้าง เพื่อให้เพื่อน ๆ และพ่อแม่เห็นว่าผมโตแล้วทำอะไรหลายอย่างได้ด้วยตัวเอง”

ละเมื่อผู้เขียนได้มีโอกาสพบคุณแม่ของน้องดอยเธอเล่าให้ฟังว่า “ดิฉันรักและห่วงใยลูกมากเพราะมีลูกชายคนเดียว กลัวเขาไปทำอะไรที่ไม่ดี เรื่องขับมอเตอร์ไซค์ก็เหมือนกันรู้ว่าเขาขับรถได้แต่ดิฉันเป็นห่วงลูก กลัวจะเกิดอุบัติเหตุเหมือนลูกชายข้างบ้านแล้วพิการ อนาคตดับวูบและยังเป็นภาระให้คนอื่นอีกมาก ไม่ใช้ไม่รัก แต่ห่วงใยเขามากจึงไม่ให้ขับมอเตอร์ไซค์มาเอง” การไม่ให้ลูกขับมอเตอร์ไซค์ แม่ตีความหมายว่าคือความห่วงใยและใส่ใจ แต่ลูกตีความหมายว่า คือความไม่ไว้วางใจ เหตุการณ์เดียวกันแต่ตีความหมายต่างกันวิธีปฏิบัติจึงออกมาต่างกัน นำมาสู่ความขัดแย้งระหว่างลูกกับแม่ในที่สุด

on2
(รูปประกอบบทความ มิใช่เหตุการณ์จริง)

สุภาพสตรีวัย 40 ปี มาปรึกษาผู้เขียนด้วยสีหน้าหม่นหมอง อ้างว้างระคนกับความวิตกกังวลในปัญหาที่เธอกำลังเผชิญ นั่นคือเธอมีลูกชายเพียงคนเดียววัยประมาณ 15 ปี เธอเริ่มรู้สึกว่าลูกชายตีตนออกห่างเรื่อย ๆ เช่นเวลานั่งใกล้เขาก็จะขยับหนี ชวนไปดูหนัง ฟังเพลง ช็อปปิ้ง รวมทั้งชวนไปร่วมงานต่างๆลูกชายก็ปฏิเสธ ซึ่งต่างไปจากเมื่อตอนเด็ก ๆ ที่แม่ชวนไปไหนก็ยินดีไปด้วยทุกที่ แม้บางครั้งแม่ไม่ชวนลูกชายก็จะขอไปด้วย แต่ประมาณ 2 ปีมานี้ ลูกชายเธอเปลี่ยนไปมากเป็นเหตุทำให้เธอทุกข์ใจเพราะรู้สึกสูญเสีย รู้สึกว่าลูกไม่รัก ทั้งกังวลที่ลูกออกบ้านไปเที่ยวกับเพื่อนมากขึ้น

วัยรุ่น,วัยหวาน,วัยมัน,วัยแห่งพายุบุแคม ล้วนเป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มคนที่อยู่ในช่วงอายุประมาณ 15-24 ปี เป็นวัยที่พ่อแม่ผู้ปกครองและครูบาอาจารย์ควรเข้าใจธรรมชาติของเขา เพราะวัยนี้เป็นวัยที่มีความเจริญและเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจและสังคม บ่อยครั้งพบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในวัยรุ่นนั้นมีสาเหตุมาจากการเลี้ยงดูที่ปราศจากความเข้าใจธรรมชาติของเขา เช่น พ่อแม่ผู้ปกครองเข้มงวดในชีวิตมาก ชีวิตเต็มไปด้วยการห้ามหรืออย่าทำโน่นอย่าทำนี่ไปหมด เป็นเหตุให้วัยรุ่นคับข้องใจ ติดเพื่อน หนีออกจากบ้าน อาจซึมเศร้าและฆ่าตัวตาย จนพ่อแม่ผู้ปกครองทุกข์ใจต้องมาปรึกษานักสุขภาพจิต

ทั้งสองตัวอย่างดังกล่าว เป็นเรื่องจริงที่ผู้เขียนนำมาเสนอ เพื่อให้เห็นว่าการดูแลวัยรุ่นอย่างไม่เข้าใจและปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่เหมาะสมนำมาสู่ความขัดแย้งและไร้ความสุขทั้งตัววัยรุ่นเองและผู้ที่ดูแล แต่การดูแลเขาด้วยความรักความเข้าใจอย่างแท้จริง ตลอดจนวัยรุ่นเองหากเข้าใจตนเองว่าวัยดังกล่าวจะเกิดความรู้สึกเปลี่ยนแปลงและความต้องการที่เกิดขึ้นตามวัยเป็นอะไรและอย่างไร ก็จะช่วยให้การใช้ชีวิตในวัยรุ่นมีความสุขและสำเร็จยิ่งขึ้น

บางกรณีที่พ่อแม่ผู้ปกครองมาปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาวัยรุ่น เมื่อรับการปรึกษาไปพักหนึ่งนักสุขภาพจิตมักจะพบว่า ที่แท้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่วัยรุ่น แต่ปัญหาอยู่ที่พ่อแม่ผู้ปกครองที่มาปรึกษานั้นไม่เข้าใจธรรมชาติของวัยรุ่น จึงให้คำแนะนำแก่พ่อแม่ผู้ปกครองเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติต่อวัยรุ่นไปตามความเหมาะสม เพื่อให้วัยรุ่นเข้าใจตัวเองและผู้ใหญ่ให้การดูแลวัยรุ่นอย่างเหมาะสมทุกคนควรเข้าใจในคุณลักษณะเด่น 5 ประการขอวัยรุ่น นั่นคือ เขาอยากเก่ง อยากโต อยากโชว์ อยากช่วย และอยากให้ผู้อื่นชื่นชม ดังรายละเอียดต่อไปนี้

1. อยากเก่ง ธรรมชาติของวัยรุ่นเป็นวัยที่มีความคิดสร้างสรรค์และมีจินตนาการสูง หากได้รับการสนับสนุนให้คิด และแสดงออกในสิ่งที่เหมาะสมและมีผลงานเป็นที่ยอมรับและชื่นชมจากผู้อื่น วัยรุ่นจะมีความภาคภูมิใจเพราะฉะนั้นวัยรุ่นทุกคนอยากเป็นคนเก่งเสมอ พ่อแม่ผู้ปกครองควรเปิดโอกาสให้เขาได้แสดงออกและแสวงหาสิ่งที่เขาชอบในทางที่ดีและให้การสนับสนุน จะทำให้วัยรุ่นเป็นคนเก่งในสิ่งที่เขาชอบและถนัดได้

2. อยากโต วัยรุ่นเป็นวัยที่มีการเจริญเติบโตทั้งทางร่างกาย จิตใจและสังคม การสนับสนุนให้วัยรุ่นได้ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม พักผ่อนเพียงพอ รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์เพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตด้านร่างกาย และสนับสนุนให้มีปฏิสัมพันธ์ในสังคมที่กว้างขวางขึ้นจะเป็นการช่วยสนับสนุนให้วัยรุ่นเจริญเติบโต ทางด้านร่างกายจิตใจและสังคมได้อย่างเหมาะสม

3. อยากโชว์ การอยากโชว์หรืออยากแสดงออกเป็นความต้องการของวัยรุ่นดังนั้นจึงมักจะพบว่าวัยรุ่นมีการแสดงออกในรูปแบบต่าง ๆ ตามความสามารถของแต่ละคนเช่น การเต้นรำ การร้องเพลง การแสดง การเล่นกีฬาและความสนใจด้านวิชาการต่าง ๆ เป็นต้น ดังนั้นการสนับสนุนให้วัยรุ่นได้แสดงออกที่เหมาะสม จะช่วยให้เขาคลายเครียด มีความภาคภูมิใจและยังช่วยพัฒนาวุฒิภาวะทางจิตใจและสังคมอีกด้วย

4. อยากช่วย วัยรุ่นเป็นวัยที่ต้องการแสดงออกเพื่อการช่วยเหลือต่าง ๆ เช่น ช่วยเพื่อนทำกิจกรรมช่วยครูทำงาน ช่วยทำกิจกรรมเพื่อสาธารณะประโยชน์ต่าง ๆ ดังนั้นหากผู้ใหญ่ชี้นำแนวทางและเอื้ออำนวยให้วัยรุ่นได้มีโอกาสแสดงออกด้านการช่วยเหลือผู้อื่นและสังคมสิ่งแวดล้อมจะเป็นการสนับสนุนให้วัยรุ่นรู้จักการให้ การเสียสละและพัฒนาจิตสำนึกสาธารณะตลอดจนพัฒนาคุณธรรมด้านความเมตตาและเอื้ออาทรต่อผู้อื่น ซึ่งเป็นการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์และทางสังคมได้อีกด้วย

5. อยากให้ผู้อื่นชื่นชม วัยรุ่นเป็นวัยที่ต้องการ การยอมรับและชื่นชมจากผู้อื่น ดังนั้นวัยรุ่นจะทำทุกอย่างให้กลุ่มเพื่อนและพ่อแม่ผู้ปกครองยอมรับ และต้องการความรักความเข้าใจเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นพ่อแม่ผู้ปกครองควรยอมรับและเข้าใจวัยรุ่น เมื่อวัยรุ่นทำในสิ่งที่ดีงามพ่อแม่ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์และบุคคลรอบข้างควรแสดงความชื่นชมยินดีในตัวเขา ทั้งด้วยกิริยาและวาจาและอาจให้ของรางวัลแก่เขาตามสมควรแก่เหตุการณ์ เพราะการชื่นชมยินดีจะช่วยให้เขาเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจและยังช่วยให้เขาได้เรียนรู้ด้วยว่าสิ่งที่ได้รับการชื่นชมนั้นคือการกระทำที่เป็นคุณงามความดี ซึ่งจะช่วยจูงใจให้เขากระทำอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

หลักการ 5 อยากของวัยรุ่นดังกล่าว เป็นการอธิบายธรรมชาติของวัยรุ่นซึ่งสามารถนำมาใช้ทำนายพฤติกรรมของเขาได้ นอกจากจะช่วยให้วัยรุ่นเข้าใจตัวเอง และแสวงหาสิ่งที่สอดคล้องในทางที่ดีงามกับธรรมชาติของตัวเองแล้ว หากพ่อแม่ผู้ปกครองเข้าใจและปฏิบัติต่อเขาอย่างเหมาะสมจะช่วยให้เกิดความสุขใจในการอยู่ร่วมกับวัยรุ่นได้เป็นอย่างดี

วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์

ประธานสถาบันพัฒนาศักยภาพมนุษย์และกลยุทธ์สู่ความสำเร็จ Wuttipong Academy, กรรมการบริหารมูลนิธิสุขภาพจิตโรงพยาบาลสวนปรุง

Recommended Posts