เป็นคนผูกพันหรือผิดแผกอยู่ในองค์กร

colleage

“อาจารย์ครับ ผมเอาแต่วิชาชีพและวิชาการ แต่ไม่เอาองค์การได้หรือไม่” ผู้เขียนตอบว่า “ในเมื่อวิชาชีพบวกวิชาการบวกองค์การคือตัวเรา การไม่เอาองค์การก็เท่ากับไม่เอาตัวเองนั่นแหละครับ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่เราไม่เอาตัวเอง” ผู้ร่วมสัมมนาท่านดังกล่าวพูดต่อว่า “งั้นสรุปก็คือ ผมเอาแต่วิชาชีพและวิชาการ แต่ไม่เอา องค์การครับ” นั่นเป็นบทสนทนาที่ผู้เข้าร่วมสัมมนาท่านหนึ่งถามผู้เขียนในช่วงท้ายของการสัมมนาเมื่อครั้งเป็นวิทยากรเรื่อง การสร้างความผูกพันในองค์กร

เห็นคุณค่าในการได้ช่วยเหลือผู้อื่นและสังคม
มิใช่ทำงานเพียงเห็นว่าเป็นเครื่องมือ
ในการสร้างรายได้เพื่อการยังชีพเท่านั้น

ว่าจะมาถึงจุดนี้ผู้เขียนได้อธิบายและทำกิจกรรมผ่านเวลามาแล้วประมาณสามชั่วโมง สาระหลักคือผู้เขียนอธิบายความในทางจิตวิทยาและคุณวิทยาที่ลึกลงไปว่า แท้จริง สิ่งสำคัญที่สุดในองค์กรหรือองค์การก็คือบุคลากรนั่นเอง หาใช่อาคารสถานที่หรืออาณาบริเวณที่หรูหรา นั่นคือบุคลากรทุกคนหรือตัวเรานั้นมีความเป็นสามประการอยู่ในตนเองคือเป็นทั้งวิชาชีพ วิชาการและองค์การนั่นเอง

ความเป็นวิชาชีพ วิชาการ และองค์การอยู่ในตัวเราหมายความว่า เมื่อเราทำงานสังกัดอยู่ในองค์กรใด เราก็ต้องประกอบวิชาชีพอยู่ในองค์กรนั้นและใช้วิชาการในแขนงนั้น ๆ เช่น วิชาชีพพยาบาลก็ต้องทำงานโดยใช้วิชาการสาขาการพยาบาลมาประกอบวิชาชีพและทำงานสังกัดอยู่ในกลุ่มการพยาบาลของโรงพยาบาลนั้น ๆ หรือหากเป็นทนายความก็ใช้วิชาการทางนิติศาสตร์มาประกอบวิชาชีพและเป็นบุคลากรที่สังกัดสำนักงานทางกฏหมายที่ทำงานอยู่ด้วย หรือหากเป็นนักธุรกิจก็ทำงานด้วยการใช้ความรู้ด้านการบริหารธุรกิจและสังกัดอยู่ในบริษัททางธุรกิจที่ตนเองทำงานอยู่ด้วย เป็นต้น

เมื่อตระหนักได้ว่าตัวเราเป็นทั้งนักวิชาชีพ นักวิชาการ และองค์การอยู่ในตนเองแล้ว รากเหง้าในเชิงจิตวิทยาและคุณวิทยาที่จะทำให้คนเราผูกพันกับองค์กรได้อย่างยั่งยืน นั้นก็คือการสำนึกรู้คุณค่าในวิชาชีพ วิชาการและองค์การอย่างสุดจิตสุดใจ (Passion) ในผลลัพธ์ของงานที่ทำ เช่น การได้ช่วยเหลือชีวิตผู้อื่นให้ปลอดโรคปลอดภัยและมีจิตใจที่ดีงามสูงส่งยิ่งขึ้น เป็นการก้าวข้ามอัตตาตนไปเห็นคุณค่าในผลลัพธ์ของงานที่มีต่อผู้อื่นหรือสังคม และนั่นเป็นหัวใจสำคัญของความผูกพันในองค์กรอย่างแท้จริง

ดังนั้นตัวเราจะกลายเป็นภาพลักษณ์ขององค์กรนั้น ๆ ไปในที่สุด กล่าวคือใคร ๆ ก็จะรู้ว่าตัวเราทำงานอะไรและทำงานอยู่ที่ไหนนั่นเอง ตัวเราจึงเป็นทั้งเหตุและผลขององค์กรหรือองค์การ นั่นคือเป็นทั้งนักวิชาชีพใช้วิชาการและเป็นองค์การอยู่ในตนเอง เพราะบุคลากรเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในองค์กร องค์การที่ปราศจากบุคลากรก็เป็นได้แค่เพียงศาลเจ้าที่รกร้างไร้คุณค่าและความหมายใด ๆ ต่อทั้งตนเองและสังคมเท่านั้นเอง

เมื่อเกิดความซาบซึ้งและหลงใหลในคุณค่าของวิชาชีพ วิชาการ และองค์การแล้ว จะนำมาสู่การมีพันธะสัญญา (Commitment) ต่อทั้งตนเอง ผู้ร่วมวิชาชีพ และเชื่อมโยงสู่องค์กรในที่สุด ทั้งการสร้างวิสัยทัศน์ พันธกิจ ระเบียบปฎิบัติ และวิถีทางต่าง ๆ ในการอยู่ร่วมกันในองค์กรนั้น ๆ อย่างมีความสุข จนส่งผลให้บุคลากรมีความสนิทสนม (Intimacy) ต่อกันยิ่ง ๆ ขึ้น เพราะจะมีระบบความคิด ความเชื่อ ค่านิยมและวิถีปฏิบัติต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันทั้งในเชิงวิชาชีพ วิชาการ องค์การและชีวิตส่วนตัวนั่นเอง

จากการศึกษาพบว่าผู้ที่ประกอบวิชาชีพและสังกัดอยู่ในองค์กรใด ๆ ได้อย่างยั่งยืนนั้น ส่วนใหญ่จะซาบซึ้งและเห็นคุณค่าในการได้ช่วยเหลือผู้อื่นและสังคมมิใช่ทำงานเพียงเห็นว่าเป็นเครื่องมือในการสร้างรายได้เพื่อการยังชีพเท่านั้น เพราะการคิดอยู่ในกรอบเพียงเท่านั้นมิอาจช่วยให้บุคลากรเกิดความซาบซึ้งและผูกพันในวิชาชีพวิชาการและองค์การได้อย่างยั่งยืน

แม้อาจมีความคิดเห็นและความชอบที่แตกต่างกันไปบ้างในหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งบางคนอาจเลือกที่จะร่วมมือร่วมใจกับพันธกิจและกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กรบางอย่างแต่ไม่ร่วมในบางอย่าง แต่โดยองคาพยพรวมแล้ว ทุกคนยังร่วมมือร่วมใจกันโดยภาพรวมอยู่ดีและขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมายร่วมกันได้ในที่สุด

เมื่อวกกลับมาสู่คำถามของผู้เข้าร่วมสัมมนาท่านดังกล่าวที่ถามผู้เขียนในงานสัมมนาซึ่งนำเสนอมาแต่ต้นของบทความนี้ คำตอบแบบเบ็ดเสร็จโดยภาพรวมผู้เขียนก็ตอบไปว่า “แท้จริงมิใช่ท่านไม่เอาองค์กรหรอกครับ เพราะหากท่านไม่เอาองค์กร ท่านก็คงไม่ร่วมเดินทางมากับคณะเพื่อร่วมสัมมนาในรีสอร์ทแห่งนี้ด้วยกัน การที่ท่านมานั่นคือท่านยังเอาองค์กรอยู่ครับแต่ความจริงก็คือท่านเลือกที่จะเอาหรือร่วมมือกับองค์กรบางอย่างและไม่เลือกที่จะร่วมมือบางอย่างเท่านั้นเอง เฉกเช่นในสามชั่วโมงที่ผ่านมาที่วิทยากรก็สังเกตเห็นว่าท่านเลือกที่จะทำแค่นั่งฟังบรรยายและแสดงความเห็นร่วม แต่ท่านไม่เลือกที่จะไปร่วมกิจกรรมกลุ่มเพื่อการเรียนรู้ ด้วยการหลีกเลี่ยงออกจากกลุ่มแล้วไปนั่งสังเกตการณ์อยู่ท้ายห้อง ไงครับ ! นั่นคือการเลือกที่จะร่วมมือบางอย่างและไม่ร่วมมือบางอย่าง มิใช่การไม่เอาองค์กร แต่เป็นแค่เพียงการไม่ถูกใจตนในนโยบายหรือระเบียบบางอย่าง บางโครงการหรือไม่ถูกใจใครบางคนบางกลุ่มเท่านั้นเอง แต่แท้จริงเรายังเอายังเลือกที่จะเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรอยู่นั่นเอง”

บ่อยครั้งที่เรามักพบว่าในองค์กรมีบุคลากรแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มซึ่งไม่ค่อยสามัคคีและสนิทสนมกันเท่าใด แล้วมักจะพูดเหมารวมว่าตนเองไม่ชอบองค์กรที่ทำงานอยู่ด้วย หากแยกแยะให้ดีจะพบว่าแท้จริง มิใช่การไม่ชอบองค์กรเป็นแต่เพียงไม่ชอบใครบางคนบางกลุ่มหรือบางนโยบายเท่านั้นเอง แท้จริงเราต่างผูกพันกับองค์กรโดยภาพรวมอยู่ดี

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้วท่านเป็นแบบไหนครับ เป็นทุกอย่างเอาทุกอย่างที่เป็นองค์กร หรือแท้จริงเลือกที่จะยังอยู่ในองค์กรทั้งยังมีรายได้จากองค์กรและยังมีเกียรติกระทั่งได้รับการยอมรับนับถืออันเกิดจากองค์กร แต่กลับพูดว่าไม่เอาองค์กร ลองใคร่ครวญกันให้ดีดีครับ ! แล้วจะพบว่าตัวเราเป็นความผูกพันหรือผิดแผกอยู่ในองค์กร

วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์

ประธานสถาบันพัฒนาศักยภาพมนุษย์และกลยุทธ์สู่ความสำเร็จ Wuttipong Academy, กรรมการบริหารมูลนิธิสุขภาพจิตโรงพยาบาลสวนปรุง

Recommended Posts