อาจารย์ครับ ขอปรึกษาหน่อยครับ ผมกลุ้มใจมากไม่รู้จะทำยังไงดี ผมรู้สึกเครียดมากเลย ด้วยเพราะนิสัยของผมเป็นคนที่ทำอะไรลงไปแล้ว ต้องรับผิดชอบครับ เรื่องมีอยู่ว่าผมไปมีสัมพันธ์สวาทกับเพื่อนสนิทของภรรยาจนเขาตั้งครรภ์ครับ และภรรยาของผมก็รู้แล้วด้วย เขาโกรธมาก ด่าทั้งผมและเพื่อนของเขามากมาย และยื่นคำขาดขอหย่าขาดกับผม ผมกลุ้มใจมากครับ ส่วนเพื่อนของภรรยาเขาก็บอกผมว่า เขาเป็นฝ่ายผิดที่เป็นฝ่ายสื่อสารเชิงสัมพันธสวาทกับผมก่อน และเมื่อเรื่องแดงขึ้นเช่นนี้เขาไม่ขอเรียกร้องอะไรและขอเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง แต่ผมรับไม่ได้ครับ เพราะผมทำอะไรลงไปแล้วต้องรับผิดชอบเสมอครับ
“ผมเป็นคนที่ทำสิ่งใดลงไปแล้วต้องรับผิดชอบเสมอทิ้งไม่ได้และตัดใจไม่ได้ครับผมรับผิดชอบครับ”
นั่ นเป็นส่วนหนึ่งจากบทสนทนาที่ชายคนหนึ่งโทรศัพท์มาปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตกับผู้เขียนเมื่อหลายวันที่ผ่านมา ดูช่างคล้ายกับเรื่องราวในละครโทรทัศน์ที่พึ่งอวสานไปเมื่อไม่นานมานี้คือเรื่องน้ำเซาะทรายนั่นเอง ในโลกของชีวิตจริงเรื่องทำนองดังกล่าวมีมากยิ่งกว่าในละครโทรทัศน์เสียอีก และหลายรายผู้เขียนก็มักจะได้ยินคำพูดว่า “#ผมเป็นคนที่ทำสิ่งใดลงไปแล้วต้องรับผิดชอบเสมอทิ้งไม่ได้และตัดใจไม่ได้ครับผมรับผิดชอบครับ” จึงเป็นที่มาแห่งการเขียนบทความเรื่องนี้นั่นคือ รับผิดชอบก่อนทำหรือทำแล้วค่อยอ้างว่ารับผิดชอบ
หลากหลายเหตุการณ์ทั้งในชีวิตส่วนตัวครอบครัวและสังคมเรามักถูกพร่ำสอนให้เป็นคนที่มีความรับผิดชอบมาตั้งแต่เด็ก แต่!แทบทั้งหมดของการสอนมักจะเป็นการสอนให้รับผิดชอบในหน้าที่การงาน และผลลัพท์ของการกระทำเหล่านั้น ดังเช่นตัวอย่างที่ผู้เขียนนำเสนอมาแต่แรก ไม่ค่อยพบว่ามีการสอนให้รับผิดชอบในความคิดอารมณ์และความรู้สึกของตนเองก่อนการลงมือทำเรื่องใดๆในชีวิต ชึ่งนั่นคือเหตุ แต่สอนให้ต้องรับผิดชอบที่ผลของการกระทำ ซึ่งก็ไม่ผิด แต่หากจะให้ถูกกว่าคือ ต้องสอนให้มุ่งรับรู้ทั้งความคิดความรู้สึกและผลของการกระทำที่จะเกิดขึ้นไปพร้อมๆกัน
หัวใจของการเป็นคนมีความรับผิดชอบนั้นคือต้องฝึกให้เป็นคน “#รับรู้” #เพราะการรับรู้เป็นทั้งสติและปัญญาอย่างแท้จริง การรับรู้ที่จำเป็นต้องฝึกฝนซึ่งจะเป็นเหตุให้เป็นคนมีความรับผิดชอบนั้นมีอยู่ห้าประการณ์คือ
- รับรู้ความคิดและอารมณ์ความรู้สึก
- รับรู้ความรู้ความสามารถของตน
- รับรู้ความสัมพันธ์
- รับรู้คุณค่าและความหมาย
- รับรู้ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
ก ารฝึกรับรู้ทั้งห้าประการดังกล่าวเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาความรับผิดชอบ ซึ้งต้องหมั่นฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอทุกๆข้อให้สัมพันธ์ร้อยเรียงกันจนเกิดเป็นทักษะของชีวิต เมื่อนั้นจึงจะเป็นการฝึกพัฒนาความเป็นคนที่มีความรับผิดชอบอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นความรับผิดชอบตลอดกระบวนการ ทั้งก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไร ระหว่างลงมือทำและผลแห่งการกระทำนั้นๆ และผู้เขียนขอย้ำว่าการฝึกรับรู้ข้อหนึ่งนั้นต้องมาก่อนข้ออื่นๆเสมอ จึงจะเกิดประสิทธิผลอย่างแท้จริง
#ความรับผิดชอบ(responsibility) #การรับรู้(perception) #และการตัดสินใจ(decision making) #สามอย่างนี้สัมพันธ์กันมาอย่างแนบเนื่อง #ในทางจิตวิทยานั้นเป็นทั้งบุคลิกภาพ(personality) #และความฉลาดทางอารมณ์(emotional quotient) ส่วนในทาง #พุทธจิตวิทยา นั้นเป็นทั้ง #การเจริญสติสัมปชัญญะ #และฝึกทมะคือความข่มใจ #ฝึกสัญญมะคือความยับยั้งชั่งใจ #จนส่งผลต่อการคิดและการกระทำในทางที่ชอบทั้งมวลคือมรรคมีองค์แปดนั่นเอง เช่น การมีอาชีพชอบ มีวาจาชอบ มีการปฏิบัติชอบ มีความตั้งใจชอบ เป็นต้น
#ดังนั้นหากทุกท่านฝึกปฏิบัติตามหลักการทั้งห้าข้อดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ #นอกจากจะช่วยพัฒนาบุคลิกภาพและความฉลาดทางอารมณ์แล้ว #ยังถือว่าได้เจริญในธรรมควบคู่กันไปด้วยตลอดเส้นทางสู่ความสุขและสำเร็จในชีวิตนั่นเอง